การถ่ายภาพนำสายตาให้เกิดมิติความลึก

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553





การถ่ายภาพประเภทนี้จะอาศัยลักษณะการเรียงตัวขององค์ประกอบภาพ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างจากมนุษย์เอง ซึ่งการเรียงตัวของของสิ่งเหล่านี้จะทำให้ภาพเกิดมิติ ความลึกขึ้นมา






องค์ประกอบภาพเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปรอบๆ ตัวเราอย่างเช่น ต้นไม้ริมถนน, กำแพง, รั้ว, คลอง แต่ใช่ว่าการสร้างภาพแบบนี้จะอาศัยเพียงการเรียงตัวเป็นเส้นตรงเท่านั้นหากแต่สามารถที่จะใช้ความโค้งก็ได้อย่างเช่น สันเขื่อน, ถนนที่มีลักษณะโค้งหรือคดเคี้ยว หรือว่าจะเป็นความโค้งของอ่าว ก็จัดได้ว่าเป็นองค์ประกอบภาพที่ดีเยี่ยมอีกอย่างของการถ่ายภาพประเภทนี้








ข้อควรระวังในการถ่ายภาพให้เกิดความลึก

หากว่าเราต้องการถ่ายภาพระยะไกลอย่างเช่นถนนหรือแม่น้ำ ก็อาจจะไม่เกิดปัญหาอะไรเพราะภาพที่ออกมาจะเป็นลัษณะภาพชัดลึกอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าเราต้องการถ่ายภาพที่อยู่ใกล้ อย่างเช่นเราต้องการถ่ายรั้วเราก็ควรที่จะถ่ายให้ภาพชัดเท่ากันทั้งภาพ โดยการปรับรูรับแสงให้แคบ หรือจะใช้ โหมดในการถ่ายทิวทัศน์ก็ได้









Read more >>

การถ่ายภาพเงามืด




การถ่ายภาพเงามืดนั้นโดยทั่วไปแล้วก็คือการถ่ายภาพย้อนแสง ลักษณะของภาพที่ถ่ายได้นั้นจะเป็นการถ่ายเพื่อเก็บรายละเอียดของรูปร่าง,โครงสร้าง โดยการใช้ประโยชน์จากเงาที่ทอดลงมาในทิศทางตรงข้ามกับแสง



การถ่ายภาพแบบย้อนแสงเพื่อให้เกิดเงา เวลาที่เหมาะแก่การถ่ายภาพประเภทนี้คือตอนเช้าหรือตอนเย็น แสงในช่วงนี้จะนุ่มนวนเหมาะแก่การถ่ายเป็นอย่างมาก และเมื่อเราเลือกตัวแบบได้แล้วก็ให้วัดแสงไปที่ฉากหลัง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีความสว่างมากกว่าตัวแบบแล้วปรับชดเชยแสงไปทางลบ เท่านี้เราก็จะได้ภาพที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากภาพที่เราถ่ายทั่วๆ ไปได้แล้ว






จุดสำคัญในการถ่ายภาพย้อนแสง คือการเลือกตัวแบบที่จะสามารถสื่อจุดประสงค์ของผู้ถ่าย หรือสื่อให้ทราบในทันที่ ที่มองดูว่าเป็นภาพอะไร หากเลือกตัวแบบที่สื่อได้ไม่ชัดเจน หรือมีการทับซ้อนของเงามากเกินไปจะทำให้ภาพรกจนดูไม่รู้เรื่องว่าต้องการสื่อถึงอะไร ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับตัวแบบให้มาก

 
Read more >>

ความรู้พื้นฐานที่นักถ่ายรูปทุกคนควรทราบ



ความเร็วชัตเตอร์

 
ความเร็วชัตเตอร์ เป็นการกำหนดระยะเวลาในการบันทึกภาพ ซึ่งกลไกของกล้องจะมีแผ่นเลื่อนเปิดปิดอยู่หน้าฟิล์ม (หรือแผ่นรับแสง CCD ในกรณีของกล้องดิจิตอล) เรียกว่าชัตเตอร์ สามารถเปิดและปิดเพื่อเปิดให้แสงเข้าไปบันทึกภาพตามระยะเวลาที่เราตั้งความเร็วชัตเตอร์ เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุที่ต้องการถ่ายภาพ โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง เช่น การถ่ายภาพจากแหล่งแสงที่มีแสงน้อย เช่น แสงเทียน ต้องเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์หลายวินาที ส่วนการถ่ายภาพกลางแจ้ง มีแดดจัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกว่า เช่น 1/500 วินาทีเป็นต้น ปัจจัยอื่นที่สำคัญคือ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ เช่น การถ่ายภาพรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ต้องการให้ภาพคมชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่ทำได้ โดยสัมพันธ์กับขนาดรูรับแสงที่เลือก เช่น ตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/4000 วินาที เป็นต้น

 

 

 

 

 
--------------------------------------------------------------------------------

 

 

 
ขนาดรูรับแสง

 
กล้องส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์บังคับให้แสงผ่านเลนส์มากหรือน้อย โดยใช้แผ่นกลีบโลหะซึ่งติดตั้งอยู่ในตัวเลนส์เป็นการกำหนดปริมาณแสงผ่านเลนส์ได้มากหรือน้อย โดยวิธีเปิดรูเล็กสุด เช่น f/22 และค่อยๆใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเปิดเต็มที่ เช่น f/1.4 แต่ขนาดเปิดเต็มที่จะขึ้นกับขนาดชิ้นเลนส์ด้วย เลนส์ราคาสูงที่มีเลนส์ชิ้นหน้าขนาดใหญ่ จะรับแสงได้มากกว่า ซึ่งหมายถึงเปิดรูรับแสงเต็มที่ได้กว้างกว่า เช่น f/1.2 สำหรับการถ่ายภาพจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสงใด โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง ถ้าแสงมากมักจะใช้ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/11 ถ้าแสงน้อยมักจะใช้ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่น f/2 เป็นต้น ปัจจับอื่นที่สำคัญ คือ ความชัดลึก

 

 

 
ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง

 
การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสง ต้องมีความสัมพันธ์กัน เพื่อให้ได้ปริมาณแสงที่พอเหมาะในการบันทึกภาพ ซึ่งในสภาพแสงเดียวกัน และเลือกค่าความไวแสงเท่ากัน สามารถตั้งค่าที่เหมาะสมได้หลายค่า ตามตัวอย่าง เช่น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
--------------------------------------------------------------------------------

 

 

 
การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสง

 
การเลือกคู่ที่เหมาะสมตามตัวอย่างในหัวข้อ ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง ให้พิจารณาได้จากปัจจับต่างๆดังนี้

 

 

 
1. ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุที่จะถ่าย

 
วัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว แต่เราต้องการภาพชัด ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่กล้องจะทำได้ แต่ถ้าเป็นวัตถุที่อยู่นิ่งนั้น สามารถเลือกความเร็วชัตเตอร์เท่าไรก็ได้

 

 

 
2. ความชัดลึกของวัตถุที่จะถ่าย

 
ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/22 จะให้ความชัดลึกมากกว่าขนาดรูรับแสงกว้าง เช่น f/1.4 ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมากในการถ่ายภาพระยะใกล้ หรือใช้เลนส์ถ่ายไกลในการถ่ายภาพ

 

 

 
--------------------------------------------------------------------------------

 

 

 
การชดเชยแสง

 
เป็นการปรับปริมาณแสงในการบันทึกภาพให้แตกต่างไปจากค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสง เช่น การถ่ายภาพย้อนแสงนั้น ค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสง มักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างมืด การชดเชยแสง โดยเพิ่มแสงมากกว่าที่วัดแสงได้ หรืออีกกรณีหนึ่งคือ การถ่ายภาพวัถตุที่อยู่หน้าฉากหลังสีดำ ค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสงมักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างสว่างเกินไป การชดเชยแสงทำได้โดยลดแสงให้น้อยกว่าที่วัดแสงได้ เป็นต้น

 

 

 
--------------------------------------------------------------------------------

 

 

 
การเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสงเพื่อชดเชยแสง

 
ในการชดเชยแสงนั้น นิยมปรับเปลี่ยน เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งคือความเร็วชัตเตอร์ หรือ ขนาดรูรับแสง หลักการชดเชยแสงก็มีเพียงสองทาง คือ เพิ่มแสง หรือลดแสง

 

 

 
--------------------------------------------------------------------------------

 

 

 
การเพิ่มแสง

 
การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การลดความเร็วชัตเตอร์ลง เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/250 ยึดหลักว่าถ้าชัตเตอร์ปิดช้าลงก็จะต้องได้แสงมากขึ้นแน่นอน หากเพิ่มแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสงก็ต้องเพิ่มขนาดรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น เช่น วัดแสงได้ f/4 เพิ่มแสง 1 ระดับก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/2.8

 

 

 
การลดแสง

 
การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์ คือ การเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ เช่น วัดแสงได้ 1/500 วินาที ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/1000 คือให้ชัตเตอร์ปิดเร็วขึ้นเท่าตัวนั่นเอง หากลดแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสง ก็ต้องลดขนาดรูรับแสงให้เล็กลง เช่น วัดแสงได้ f/4 ลดแสง 1 ระดับ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/5.6

 

 

 
--------------------------------------------------------------------------------

 

 

 
การเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสมกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ

 
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น ให้พิจารณาดังนี้

 

 

 
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ

 
แบ่งทิศทางการเคลื่อนที่เป็น 2 ลักษณะ คือเคลื่อนที่เข้าหา/ออกห่างกล้อง หรือ เคลื่อนที่ผ่านกล้องจากซ้ายไปขวาหรือกลับกัน โดยที่การเคลื่อนที่เข้าหาหรือออกห่างจากกล้องนั้นสามารถเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำว่าการเคลื่อนที่ผ่านกล้อง เช่น รถยนต์ที่ขับด้วยความเร็วด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.เท่ากัน ที่เคลื่อนที่เข้าหากล้อง อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 แต่ถ้าเคลื่อนที่ผ่านกล้อง อาจต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ถึง 1/500

 

 

 
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ

 
วัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น รถแข่ง ควรเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดที่กล้องสามารถทำได้ ส่วนคนเดิน สามารถใช้ความเร็วที่น้อยกว่าได้ อย่างไรก็ตาม การถ่ายภาพวัตถุเคลื่อนที่ ควรเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่สภาพแสงอำนวย ผลลัพธ์หยุดนิ่งหรือดูแล้วเคลื่อนไหว

 

 

 
การสร้างสรรภาพบางแบบ นิยมให้ภาพดูแล้วมีลักษณะเบลอแบบเคลื่อนไหว เพื่อให้ผู้ชมภาพมีความรู้สึกว่า มีความเคลื่อนไหวในภาพ อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้ากว่าปกติได้ เช่น รถแข่ง อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/15 พร้อมกับเล็งกล้องติดตามรถแข่งไปด้วยขณะที่กดปุ่มชัตเตอร์ หากฝึกให้ดีแล้วจะได้ภาพที่รถแข่งชัดบางส่วน ส่วนฉากหลังจะมีลักษณะเป็นลายทางให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว

 

 

 
--------------------------------------------------------------------------------

 

 

 
ความชัดลึก

 
อันนี้เป็นคุณสมบัติเรื่องของเลนส์เป็นหลักเลยครับ ปัจจับที่มีผลต่อเรื่องนี้คือ

 
ขนาดรูรับแสง ขนาดรูรับแสงที่เล็กจะชัดลึกกว่า ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่น ถ้าเราถ่ายภาพระยะใกล้ เช่น ถ่ายดอกชบา 1 ดอกแบบเต็มภาพทางด้านหน้า เราจะเห็นว่าเกสรดอกจะอยู่ใกล้กล้องมากที่สุด กลีบดอก และก้านดอกจะอยู่ลึก หรือไกลกล้องออกไป หากเราต้องการถ่ายภาพให้ชัดทั้งหมดตั้งแต่เกสรดอกจนถึงก้านดอก นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่าความชัดลึก ซึ่งต้องใช้รูรับแสงขนาดเล็กไว้ ในทางกลับกันหากเราใช้รูรับแสงใหญ่ จะเรียกว่าชัดตื้น มักใช้ในกรณีที่เราต้องการให้ฉากหลังมีความคมชัดน้อยกว่าวัตถุ เพื่อเน้นให้วัตถุเด่นขึ้นมา มักจะพบบ่อยในการถ่ายภาพแฟชั่น หรือการถ่ายบุคคลเฉพาะใบหน้า

 

 

 
ขนาดความยาวโฟกัสของเลนส์

 
เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสน้อย เช่น 28 ม.ม. จะมีความชัดลึกมากกว่าเลนส์ 300 ม.ม. ดังนั้นใครที่ต้องการถ่ายภาพให้ชัดลึกก็ต้องเลือกความยาวโฟกัสให้น้อยเข้าไว้ เช่นการถ่ายภาพทิวทัศน์ ส่วนงานถ่ายภาพแฟชั่น มักจะใช้ขนาดความยาวโฟกัสมาก เพื่อเน้นที่นางแบบให้เด่นครับ ระยะห่างระหว่างกล้องถึงวัตถุ

 

 

 
ระยะห่างมากจะชัดลึกกว่า ระยะห่างน้อย เราจะเห็นว่าเวลาเราถ่ายภาพวิว ซึ่งเป็นระยะไกลๆ ภาพมักจะชัดทั้งภาพ แต่ถ้าเราถ่ายภาพดอกไม้ในระยะใกล้ๆ ภาพมักจะไม่ชัดทั้งภาพ จะชัดเพียงบางส่วน ตามที่เราตั้งโฟกัสไว้ พอรู้อย่างนี้แล้ว ครั้งต่อไปที่ถ่ายภาพดอกไม้ระยะไกล้อย่าลืมใช้ขนาดรูรับแสงเล็กๆนะครับ

 

 

 
--------------------------------------------------------------------------------

 

 

 
การวัดแสงเพื่อการถ่ายภาพ

 
เทคนิคการวัดแสงขั้นพื้นฐาน ให้พิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังนี้

 

 

 
แหล่งต้นกำเนิดแสง

 
กล้องปัจจุบันสามารถปรับสมดุลย์สีขาว (White balance) ได้อัตโนมัติ ผู้ใช้กล้องทั่วไปจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในส่วนนี้ แต่แท้จริงแล้วเป็นส่วนสำคัญที่จะได้ภาพที่มีสีสรรถูกต้อง เนื่องจากฟิล์มถูกผลิตมาให้เหมาะสมกับอุณหภูมิสีของแสงตามที่ออกแบบมา เช่น แสงอาทิตย์ (Daylight) หรือแสงจากหลอดไส้ หรือแสงจากหลอดนีออน เป็นต้น หากเป็นกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ มักจะออกแบบมาให้สามารถปรับเปลี่ยนชนิดแหล่งต้นกำเนิดแสงได้ แม้ว่ากล้องจะมีปุ่มปรับสมดุลย์สีขาวอัตโนมัติ (Auto White balance) มาแล้วก็ตาม แต่บางครั้งการทำงานของระบบอัตโนมัติก็ไม่ถูกต้องนัก ซึ่งเราจะเห็นได้จากจอ LCD ว่าสีเพี้ยน หากเป็นเช่นนี้เราก็ต้องปรับตั้งแหล่งต้นกำเนิดแสงด้วยตนเอง เช่น แสงอาทิตย์ / แสงอาทิตย์มีเมฆมาก / แสงอาทิตย์ใต้อาคาร / แสงจากหลอดไส้ / แสงจากหลอดนีออน / ตั้งสมดุลย์สีขาวเอง (Custom) หากเราลองเปลี่ยนสมดุลย์สีขาวชนิดต่างๆในกล้องแล้วยังได้สีไม่ตรงตามความเป็นจริง เราต้องใช้วิธีตั้งสมดุลย์สีขาวเอง ซึ่งวิธีการจะแตกต่างกันไปในกล้องแต่ละยี่ห้อ ซึ่งวิธีการโดยทั่วไปจะต้องใช้กระดาษสีขาวมาวางไว้ภายใต้สภาพแสงขณะนั้น แล้วเลือกตั้งสมดุลย์สีขาวเอง จากนั้นส่องกล้องให้เห็นกระดาษสีขาวเต็มจอ กดปุ่ม Set เพื่อให้กล้องอ่านอุณหภูมิสีขณะนั้น กล้องจะปรับแก้ให้เราเห็นกระดาษขาวเป็นสีขาวจริงๆ ผ่านจอ LCD เป็นเสร็จพิธี แล้วก็ถ่ายภาพที่มีสีถูกต้องในสภาพแสงนั้นได้ตลอด หากออกจากสภาพแสงนั้นแล้วอย่าลืมเปลี่ยนสมดุลย์สีขาว หรือตั้งค่าใหม่ด้วยนะครับ

 

 

 
ทิศทางของแสง

 
การถ่ายภาพแบบพื้นฐานนั้น เราจะเน้นแต่แสงธรรมชาติกับแสงจากแฟลช แบ่งเป็น

 
1.แสงส่องวัตถุคือแสงส่องหน้าแบบของเรา ซึ่งแสงจากแฟลชก็เป็นแสงแบบนี้

 
2.แสงหลังหรือที่เรียกว่าย้อนแสง

 
3.แสงข้าง

 
4.แสงบนเช่นตอนเที่ยงวัน

 

 

 
การวัดแสงควรวัดแสงที่วัตถุเท่านั้นจะได้ค่าการวัดแสงที่ถูกต้องที่สุด ในกรณีแสงข้าง ควรวัดแสงเฉลี่ยด้านมืดกับด้านสว่าง แต่ถ้าเราต้องการภาพเชิงศิลป์ออกโทนมืดๆหน่อย ให้วัดแสงที่ด้านสว่าง กรณีนี้ต้องใช้กล้องที่สามารถปรับวิธีวัดแสงแบบเฉพาะจุด (Spot) จะได้ไม่ต้องเข้าใกล้ขนาดจ่อหน้านางแบบมาก ขอเสริมเทคนิคให้สำหรับกล้องที่ไม่สามารถปรับวิธีวัดแสงแบบเฉพาะจุดได้ ให้ใช้วิธีวัดแสงกับมือของตากล้องนี่แหละครับ ดูแปลกๆหน่อยแต่ก็ช่วยให้วัดแสงได้แม่นยำขึ้นนะครับ โดยหลักการแล้ว กล้องแบบนี้จะวัดแสงเฉลี่ย ดังนั้นช่างภาพยกมือเราขึ้นมาทำให้แสงที่ตกบนมือเราเหมือนกับที่หน้านางแบบ เช่น แสงข้าง ก็ต้องกำมือปรับมุมข้อมือให้แสงตกบนหลังมือเราเหมือนแสงที่หน้านางแบบ แล้วเอากล้องจ่อที่มือเราแล้ววัดแสง เราอาจเน้นด้านสว่าง ก็จ่อกล้องที่ด้านสว่าง หรือเน้นที่ด้านมืด ก็จ่อกล้องที่ด้านมืด แต่ถ้ากล้องของเราทำการตั้งระยะชัดพร้อมกับวัดแสงด้วย แบบนี้ใช้ไม่ได้นะครับ เพราะระยะชัดไม่ถูกต้องครับ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่หมดหนทางครับ แต่เราต้องเตรียมกระดาษสีเทาใบใหญ่กว่า A4 ก็ดีครับ ให้นางแบบถือไว้โดยปรับมุมของกระดาษสีเทานี้แสงตกกระทบในมุมเดียวกับหน้านางแบบ แล้ววัดแสงที่กระดาษสีเทาก็ได้จะได้ค่าแสงที่เหมาะสมครับ ความเปรียบต่างของแสงส่องวัตถุกับแสงหลัง

 

 

 
เช่นกรณีการถ่ายย้อนแสงโดยที่นางแบบอยู่ในร่มเงา ฉากหลังเป็นหาดทรายสีขาว แบบนี้ถ้าวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพ ผลลัพธ์ก็จะออกมามืดไป เพราะเครื่องวัดแสงของกล้องจะโดนหลอกจากแสงหลังที่มาจากหาดทรายว่าแสงมาก จึงให้ค่าการวัดแสงที่ต่ำเกินไปคือถ่ายออกมาแล้วมืดไป เราต้องใช้วิธีวัดแสงเฉพาะจุดที่หน้านางแบบ แต่วิธีนี้ก็ให้ผลเสียคือ ฉากหลังจะขาวเกินไปจนอาจมองไม่ออกเลยว่าถ่ายที่ไหน วิธีนี้แนะนำให้เปิดแฟลชเพื่อลบเงาที่หน้านางแบบ แฟลชที่ติดมากับกล้องจะได้ผลน้อย แต่ก็ดีกว่าไม่เปิด ท่านที่มีแฟลชเสริมขอให้หยิบมาใช้เลยครับ ภาพแจ่มทั้งนางแบบและฉากหลังเลยครับ การวัดแสงมีเรื่องให้กล่าวถึงมากมายครับ ขอให้ติดตามต่อในเรื่องของการถ่ายภาพแบบพิเศษ แล้วจะพูดถึงต่อไปครับ

 

 

 
Read more >>

เส้นแสงของดาวสวย






หากจะถ่ายภาพการโคจรของดวงดาว ที่คุณต้องทำก็คือการหาสถานที่ๆ เหมาะกับการถ่ายภาพแบบนี้ นั่นคือควรจะเป็นที่ๆ ค่อนข้างมืด, ท้องฟ้ากระจ่างไม่มีสิ่งใดมาบดบัง(เช่นเมฆ, หมอกเป็นต้น) แสงไฟในตัวเมืองอาจเป็นอุปสรรคสำคัญ ที่ทำให้แสงดาวไม่สว่างเท่าที่ควร



อุปกรณ์ที่จำเป็นคือขาตั้งกล้อง และสายลั่นชัตเตอร์ชนิดล็อคปุ่มได้ เพราะคุณจำเป็นต้องเปิดชัตเตอร์นานมาก คือตั้งแต่ 15 นาทีขึ้นไป ที่สำคัญคือแบตเตอรี่หรือแหล่งพลังงาน ที่มีไฟอยู่เต็มเปี่ยม เพราะการเปิดหน้ากล้องค้างไว้นานๆ จะใช้กระแสไฟค่อนข้างมากพอสมควร



ปรับกล้องไปใช้ชัตเตอร์ "B" เปิดรูรับแสงประมาณ f/5.6 ที่ ISO 100-200 ยิ่งรูรับแสงกว้าง และ ISO สูงขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เส้นแสงมีความหนามากขึ้นเท่านั้น



เลนส์ที่ใช้ควรจะเป็นเลนส์อะไรดี? ขึ้นอยู่กับวิธีคิดและการจัดวางภาพของคุณ เลนส์มุมกว้างที่มีระยะตั้งแต่ 10mm จะให้ภาพที่กว้างแต่เส้นดาวของคุณจะเล็กมากบางส่วนอาจจะหายไปเลยก็ได้ ส่วนเลนส์ Tele ที่มีระยะตั้งแต่ 70mm ขึ้นไปจะทำให้เห็นเส้นของดาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น



สิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งคือ แบตเตอรี่ของกล้องดิจิตอลจะสามารถเปิดหน้ากล้องได้นานประมาณ 1-2.5 ช.ม (ขึ้นอยู่กับกล้องที่คุณใช้) และต้องเผื่อสำหรับขั้นตอนที่กล้องจะต้องบันทึกข้อมูลไฟล์ภาพลงสู่การ์ดด้วย (บางครั้งเวลาในการบันทึกข้อมูลลงสู่การ์ด อาจจะเท่ากับเวลาที่คุณเปิดหน้ากล้องเลยก็เป็นได้ หากคุณใช้การ์ดที่มีความเร็วต่ำ) ถ้าหากคุณมีอุปกรณ์ที่สามารถจ่ายกระแสไฟให้กับกล้องได้โดยตรง(เช่น AC Adapter) ก็ขอให้นำมันมาใช้ในโอกาสนี้(ถ้าเป็นไปได้)



หรือถ้าคุณมีแบตเตอรี่กริป ซึ่งมีชุดอุปกรณ์สำหรับใส่แบตเตอรี่ AA (โดยทั่วไปมักจะมีมาให้) ก็ให้เปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่ชุดนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วเมื่อผ่านการถ่ายภาพดาวตอนกลางคืน ในวันถัดมาของทริปของคุณอาจจะไม่มีแบตเตอรี่พอที่จะถ่ายภาพอย่างอื่นต่อไปได้



ขอให้สนุกกับกล้องของคุณ.





ขอบคุณเทคนิคถ่ายภาจาก : tsdmag.com



Read more >>

เมื่อพระอาทิตย์ลาลับฟ้า




ในการถ่ายภาพท้องฟ้า ในช่วงพระอาทิตย์ตกดินนั้น สำคัญที่แสงสีที่จะปรากฏอยู่ในภาพ สีของท้องฟ้าจะออกมาเป็นส้ม, ฟ้า, แดง ฯลฯ ได้หรือไม่นั้น สำคัญอยู่ที่การวัดแสงและ การปรับตั้งกล้องของคุณ หากคุณวัดแสงไม่ถูกตำแหน่ง ภาพที่ได้อาจจะสว่างหรือมืดเกินไป คุณจึงควรหมั่นทดลองและฝึกบ่อยๆ



เมื่อคุณได้จังหวะ และสถานทีี่่ทีเหมาะสมแล้ว ให้คุณปรับระบบวัดแสงเป็นแบบเฉพาะจุด หรือ Spot Metering (ดูจากคู่มือกล้องของคุณเรื่องระบบวัดแสง) วางจุดวัดแสงที่ท้องฟ้าบริเวณข้างๆ พระอาทิตย์ซึ่งจะเป็นจุดที่มีปริมาณแสงพอเหมาะ สำหรับการวัดแสงของกล้อง ภาพจะไม่มืดหรือสว่างเกินไป



ใช้รูรับแสงแคบๆ ประมาณ f/16 หากมีพระอาทิตย์อยู่ในภาพด้วย หรือ f/8-11 หากพระอาทิตย์ถูกบังด้วยสิ่งอื่น (เช่นอยู่หลังเมฆ หรือหลังต้นไม้)



โหมดการถ่ายภาพชนิดปรับตั้งรูรับแสงเอง (Av) จะใช้การได้ดีและสะดวกสำหรับภาพลักษณะนี้ เมื่อวัดแสงแล้ว ให้คุณล็อคค่าความจำแสง (โดยใช้ปุ่ม AE Lock) แล้วจัดองค์ประกอบภาพใหม่ อย่าใช้โหมดอัตโนมัติทั้งหลาย (เช่น Landscape หรือ Full Auto) เพราะคุณจะไม่สามารถใช้ระบบการวัดแสงเฉพาะจุด, การล็อคค่าความจำแสง หรือการปรับตั้งอื่นๆ ได้



คุณสามารถชดเชยแสง +/- ได้อีกตามที่คุณต้องการ หากภาพที่ได้ แสงยังไม่พอดีตามที่คุณอยากจะให้มันเป็น บางทีอาจจะเป็นเพราะคุณยังวางตำแหน่งวัดแสงไม่ถูกจุด จำเอาไว้ว่าถ้าคุณวัดแสงตรงที่สว่างภาพที่ได้จะมืด ตรงกันข้ามหากวัดแสงตรงที่มืดภาพก็จะสว่าง ตำแหน่งวัดแสงจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก



ข้อควรระวัง**: ไม่ควรใช้ตาของคุณมองเข้าไปในดวงอาทิตย์โดยตรงเด็ดขาด เพราะเลนส์จะทำหน้าที่รวมแสงเข้าหาดวงตาของคุณอย่างเข้มข้น อย่างน้อยๆ อาจทำให้คุณรู้สึกปวดตา, ปวดหัว อย่างร้ายแรงก็อาจทำให้ดวงตาของคุณเสียไปเลยก็ได้ แล้วทีนี้จะถ่ายภาพอย่างไรกันล่ะ?





ขอบคุณเทคนิคถ่ายภาพจาก : tsdmag.com




Read more >>